What i will do? I'll make Home movie,Doccumentaries,And Games This blog is movie, and game review Not the part of any political ideal
วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556
The Refugee 2nd day
วันนี้เป็นวันที่สองของการถูกรุกราน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้ต่างอะไรจากเมื่อวาน มันน่ากลัว ผมลืมตาดูรอบๆแบบใจเย็นๆ ดูว่าผู้รุกรานหนีไปหรือยัง เงียบเชียบ เดินทางออกจากโคลน เดินผ่านห้างที่เพิ่งวิ่งหนีตายออกมา มีแต่ร่างที่ไร้วิณญาณนอนเกลื่อน ในสมองผมคิดไปต่างๆนา มองดูคนนู้นแล้วบ่นในในว่า"อย่างนายน่ะดูจากเสื้อผ้าที่ใส่ หน้าตาที่ดูๆแล้วสมควรตายชะมัด" ดูแล้วน่าสมเพชใจ ตายทั้งๆที่พยายามอยากได้ของแต่ต้องมาตาย เห็นได้จากสายตา มันชัดเจนมาก ท่านอนก็ทำให้รู้เลยว่าตายยังไง หลายๆคนนอนล้มตายแบบอนาถมาก สักพักหนึ่ง เฮลิคอปเตอร์มาเป็นฝูงเห็นมาแต่ไกล ซึ่งตัวผมก็รู้นะคิดจะนอนเนียนไปกับกองศพนี่ไม่ฉลาดแน่เลยรีบเอาร่างของผู้เคราะร้ายมานอนทับตัวผม ซึ่งจะทำให้ผมไม่ถูกตรวจพบโดยเฮลิคอปเตอร์ พอพ้นผมไปผมก็พยายามเคลื่อนที่ให้น้อยมากๆ ซ่อนอยู่ในป่าละเมาะเป็นหลัก
วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Company of heroes II walkthrough project
Company of heroes II - Campeign กองพลดางแยงผยอง
Walkthrough
Part 1. ฝ่าสมรภูมิ สายรางรถไฟมรณะ
Part 2. ปกป้องแนวหน้ามฤตยู เผาบ้านเผาคน
Walkthrough
Part 1. ฝ่าสมรภูมิ สายรางรถไฟมรณะ
วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
The Refugee 1st day
1st day
ผมชื่อ เฟรเดอร์ริก(Frederic) อายุ 23 ปี คนวัยทำงาน แต่ผมตกงาน ไม่มีงานทำ ไปที่ใหนก็ไม่มีใครรับ แล้วใครจะไปรับผม เข้าทำงาน ผมมันก็แค่นักเรียนจบ มัธยมต้น เผลอๆจบแค่ประถมปลายด้วยซ้ำ เพราะเรียนโรงเรียนนานาชาติแล้วไม่มีเงินเรียนต่อจนจบ ทำไมผมไม่ไปทำงานเก็บขยะขายล่ะ หรือทำความสะอาดห้าง หรืองานที่ไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษา อะไรทำนองนี้ ผมก็มีความฝันเหมือนคนหลายๆคนน่ะแหละ อยากมีงานดีๆทำ อยากมีอนาคต แต่บังเอิญโลกใบนี้มันไม่ง่ายขนาดนั้น ไม่ได้โปรยด้วยกลีบกุหลาบหรอก ในเมืองใหญ่ๆแบบนี้เพื่อนผมก็มีไม่มาก คุยด้วยก็มีไม่กี่คน บ้างก็คุยกับคนขอทาน บ้างก็พ่อค้าขายอาหารตามสั่งบ้าง ในเมืองแบบนี้ใว้ใจใครได้ มีแต่เสือสิงกระทิงแรด ชิงดีชิงเด่นทั้งนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง เกิดสงครามกลางเมืองหรือเปล่าไม่รู้หรือทหารประเทศไรบุกก็ไม่ทราบ วันนั้น ช่างเป็นวันที่ๆอึกทึกมาก วันที่ปริติรถก็ติดบรมก็ขับแบบเลือดร้อน ชนกันระนาวจากที่วันปรกติรถมันก็ติดอยู่แล้ว กลายเป็นวันที่ติดเป็นอัมพฤก อัมพาตอยู่แล้ว และวันที่เกิดภัยสงครามอยู่แล้ว แน่นอนว่าทุกคนต้องสละรถ และยานพาหนะตน เอาชีวิตให้รอด วันนั้นเป็นวันที่ผมอยู่บนที่สูงแห่งหนึ่ง สูงพอที่จะเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้ทุกคนต่างหนีตาย เอาตัวรอด ผมก็เดินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนไปเห็นทีวีสาธารณะรายการทีวีถูกขั้นด้วยข่าวฉุกเฉิน ว่าขณะนี้บ้านเมืองเราเข้าสู่ภัยสงครามถูกศัตรูรุกราน ทำร้ายพี่น้องประชาชน ขอให้รีบกลับบ้านและอยู่แต่ในบ้าน อย่าเดินเพ่นพ่านบนถนนหรือประชาชนท่านใดที่อยู่นอกเขตที่ถูกโจมตี โปรดหลีกเลี่ยงเส้นทางตามแผนที่ที่ปรากฏทางทีวี หากใครอยู่ในเขตดังกล่าว ขอให้ลี้ภัยไปอยู่"เขตลี้ภัย"ไม่ก็ให้ลี้ภัยไปอยู่ในสถานที่ราชการ ไกล้บ้านให้เร็วที่สุดเพื่อที่ทางรัฐฯจะได้คุ้มครองพี่น้องประชาชนได้อย่างทั่วถึง" จากนั้นทหารก็ทำการยิงจอทีวีและไล่ยิงผู้คนตามท้องถนนอย่างโหดร้ายทารุณ และรถถังก็เต็มไปหมด ท้องฟ้าหนาตาไปด้วยร่มแบบ H.A.L.O.(High Additide Light Operation หรือ โดดร่มแบบส่งกำลังเสริมที่นิยมใช้ในการส่งทหารราบ)
ภาคในเวลาไม่กี่ชั่วโมงไม่ถึงครึ่งวัน เป็นวันที่ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนไป ผู้คนที่เคยคับคั่งตามถนนหนทาง ข้างถนนที่เคยชุกชุมไปด้วยผู้คนมากมาย มีแผงลอยขายของ อยากกินอะไรก็ซื้อเอา อยากคุยกับขอทานคนนั้น อยากคุยกับพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวคนนี้ บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว ผมเห็นเขาตาย ขอทานคนนั้นก็หายไป ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ความจริงที่เที่ยงแท้ และไม่มีวันตาย ที่ผมเชื่อมาตลอดว่า "คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด" บัดนี้จากสังเวียน"น้ำลาย" กลายเป็นการต่อสู้ด้วย"กำลัง"ระหว่าง ศัตรูผุ้รุกราน กับเพื่อนร่วมชาติ บททดสอบอีกรูปแบบของผม และข้อสอบของหลายๆคนที่จะต้องผ่านไปเท่านั้นก็ต้อง อดตาย ไม่ก็ถูกฆ่า แม้จะไม่อยากทำก็ต้องทำ เพราะมีแค่ให้เลือก 2 ข้อ คืออยู่หรือตายเท่านั้นเอง
เรื่องนี้หลายๆคนย่อมให้ความรู้สึกว่ามันดูเหมือนนิยายซอมบี้ที่เราต้องหนีมัน พวกมันไม่ยอมแพ้ และไม่ลดละความพยายาม แต่แค่เปลี่ยนตัวอันตรายเป็นทหารเฉยๆ เอาจริงๆนะครับทหารนั้นก็เป็นคนเหมือนกันเรา วิ่งเร็ว และฉลาดๆเท่าๆกับเรา แถมพวกมันก็รู้จักการดักยิง วางกับดัก และยิงด้วย
และแน่นอนจากนี้ไปผมจะเรียก พวกทหารเหล่านี้ว่า "ผู้รุกราน"
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกให้พวกท่านได้รับรู้ว่า การจะหลบหลีกผู้รุกรานนั้นมันไม่ง่ายเลย สิ่งที่ผมจะต้องต่อสู้คือนอกจากจะต้องหาทางหนีทีไล่แล้ว ต้องหาคนที่ยังมีชีวิตรอด และยังต้องหาอาหาร ยารักษาโรค และอาวุธ ซึ่งมันจะต้องลดลงไปเรื่อยๆ มันเป็นการท้าทายไหวพริบของผมอย่างมาก เกมส์นี้เล่นผิดคือ จบเกมส์ และมันก็ไม่เหมือนตู้เกมส์ หรือเกมส์คอมพ์ที่เราเล่นกันตามบ้าน เพราะตู้เกมส์แพ้ก็แค่หยอดเหรียญ แต่เกมส์นี้มันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะเล่นแพ้ก็ตายสถานเดียว เพราะฉะนั้นเกมส์นี้มันไม่มีอะไรมากก็แค่มีชีวิตเป็นเดิมพัน ทุกๆก้าวต้องวางแผนอย่างรัดกุมที่สุด เกมส์นี้มันไม่เหมือนเกมส์ตู้ หรือเกมส์คอมพ์ เพราะเกมส์ตู้คุณตายคุณก็แค่หยอดเหรียญ เกมส์คอมก็แค่กดรีสตาร์ท แต่เกมส์นี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้น หากคุณถูกจับได้คุณก็ถูกส่งไปค่ายกักกัน
พอผมรีบมาเหมือนคนอื่นๆเพื่อรีบซื้ออาหารก็ต้องตะลึงกับคนที่มีจำนวนมากแบบสุดยอด พอพูดถึงและฉุกคิดเรื่องอาหารจะไปหาที่ใหน ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้คิดเหรอว่าไปร้านสะดวกซื้อแล้วจะได้มาอ่ะ ก็รู้ๆกันอยู่ว่าคนเราก็เหมือนกันเกือบหมดแหละที่ว่า เวลาภัยมาถึงคนก็ต้องกว้านซื้อของไปตุนใว้ก่อน ใครเงินเยอะก็ซื้อได้เยอะ ใครดีใครได้ บางคนนี่ บางทีนะ เมื่อหลายปีก่อนแค่เกิดภัยน้ำท่วมนะยังซื้อไปแบบว่าจะมุดหัวซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้านสัก 1-2 ปีเหรอครับ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี่ซื้อไปเป็นยกกล่องใหญ่ๆ 8 กล่อง คือนี่"กลัวขนาดนั้นเลยเหรอ" กลัวจนไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนอื่นที่ร่วมทุกข์บ้างเลยเหรอ ภัยสงครามก็ลงท่าเดิมอ่ะแย่งซื้ออาหารแบบว่า โอ้โห คราวนี้หนักมาก ถึงขั้นฆ่ากันเพื่อแย่งอาหาร นับว่าหนักกว่าทุกภัยเลยนะเนี่ย แต่ผมรู้สึกได้ว่ามีภัย เลยรีบหาที่ซ่อนแล้วแอบมองเเบบซ่อนๆอยู่ไกลๆผมก็เห็น ผู้รุกรานไปถึงห้างนั้นเร็วมาก แล้วปิดล้อมจับกุมผู้คน
ผมเลยจำต้องรีบซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ และไม่รู้ทำไมผมไปเผลอเตะโดนขวดเบียร์แล้วชนกันดังมาก ทำให้สุนัขของผู้รุกรานได้ยินและพยายามวิ่งกรูเข้ามาหาเป็นฝูงๆ ทำให้ผมต้องรีบวิ่งอย่างสุดชีวิตเลยครับ โอ้โห ไฟฉายแบบของทหารที่สุดยอดแสบตา กับกระสุนนี่พุ่งมาแบบเป็นเส้นเป็นสายเลยนะเนี่ยแต่ด้วยสะดุดแล้วตกขี้โคลนแล้วนอนจมกองโคลนหมดสติหัวโผล่แล้วเลอะขี้โคลนจนดูเหมือนตอขยะกองหนึ่ง ผู้รุกรานส่องไฟฉายพยายามค้นหา พยายามยิงแบบสุ่มบางนัดตกอยู่ข้างๆหูผมห่างไป แค่2นิ้วเท่านั้น แต่ด้วยประสาทที่ชาและมึนทำให้ได้ยินนิดเดียวแต่สุดท้ายก็รอดอย่างปฏิหารย์ นี่คือจุดเริ่มต้นของผมแล้ว การ
"ลี้ภัย"
ป้ายกำกับ:
เรื่องแต่ง,
ลี้ภัย,
วิธีการเอาตัวรอด,
refudgee,
Thai novel
วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
Siamese soldier in American civil war
เอาบทความไปอ่อนก่อนละกันนะครับ
เดี๋ยวรูปจะลงให้ทีหลัง
ขณะที่ทหารส่วนใหญ่ของกองร้อยที่ 13 มักจะมาจากไอร์แลนด์, เยอรมัน, อังกฤษและยังมีบางส่วนที่มาจากสก็อตแลนด์ แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และฮอลแลนด์ นอกจากนี้ จาค็อบ เดอ ลา ม็อททา ซึ่งเป็นจ่าที่ได้รับการคัดเลือกเข้ากองร้อย ซึ่งเกิดในจาไมกาและซามูเอล ฮาแมน, นายหมู่ ใน กองร้อย G ซึ่งเกิดในบริติชรนช์เกียนา แต่ ในวันในกรมจัดหาบุคคลากร ในเจอร์ซีย์ซิตี ร้อยโทจอห์น กริมส์อาจถูกการเกณฑ์ทหารเพียงคนเดียวในสงคราม – เหนือหรือไต้ – ซึ่งเป็นทหารเพียงคนเดียวที่เป็นคนพื้นเมืองที่ สยามหรือสมัยใหม่ประเทศไทย
เดี๋ยวรูปจะลงให้ทีหลัง
จอร์จ ดูปองต์ ทหารสยามเพียงหนึ่งเดียวในสงครามกลางเมืองอเมริกา
มีอยู่วันหนึ่ง จอร์จ ดูปองต์ มีเดินทางมาหา ร้อยโทจอห์น กริมส์เพื่อที่จะเข้าร่วมกองร้อยอาสาสมัคร
ที่ 13th สังกัดกองหน่วย
B แห่งนิวเจอร์ซีย์ เมื่อ 12 สิงหาคม 1862 กริมส์อาจจะลังเลก่อนที่เขาจะ เขียนลงไปสถานที่ที่ดูปอง
เกิดลงในแบบฟอร์มทหาร ดูปองต์ เป็นคนที่เกิดในต่างประเทศ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ในหน่วยรบที่ 13 ซึ่งสมัยนั้นทหารส่วนใหญ่ที่รบในช่วงสงครามกลางเมืองนั้นมักจะเกิดนอกประเทศสหรัฐอเมริกา
ขณะที่ทหารส่วนใหญ่ของกองร้อยที่ 13 มักจะมาจากไอร์แลนด์, เยอรมัน, อังกฤษและยังมีบางส่วนที่มาจากสก็อตแลนด์ แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และฮอลแลนด์ นอกจากนี้ จาค็อบ เดอ ลา ม็อททา ซึ่งเป็นจ่าที่ได้รับการคัดเลือกเข้ากองร้อย ซึ่งเกิดในจาไมกาและซามูเอล ฮาแมน, นายหมู่ ใน กองร้อย G ซึ่งเกิดในบริติชรนช์เกียนา แต่ ในวันในกรมจัดหาบุคคลากร ในเจอร์ซีย์ซิตี ร้อยโทจอห์น กริมส์อาจถูกการเกณฑ์ทหารเพียงคนเดียวในสงคราม – เหนือหรือไต้ – ซึ่งเป็นทหารเพียงคนเดียวที่เป็นคนพื้นเมืองที่ สยามหรือสมัยใหม่ประเทศไทย
แม้ว่า จอร์จ ดูปองต์เป็นคนที่รู้จักกันดีในสงครามกลางเมืองในมลรัฐ
นิวเจอร์ซีย์ แต่เขาจะเป็นที่รู้จักน้อยเมื่ออยู่นอกรัฐ ดูปองต์ มาถึงอเมริกาเมื่อสองปี ก่อนที่จะเริ่มต้นสงคราม เขาล่องเรือเข้าสู่ท่าเรือของนิวยอร์กในปีค.ศ.
1859 เขาเป็นคนที่อาศัยอยู่ในหอพักที่
222 ในถนน ยอร์ก ในเจอร์ซีย์ซิตี ตอนที่เขาเข้าสู่กองร้อยที่ 13
ในฤดูร้อนเขา ถูกคัดเลือกตอน ที่อายุ 18 แต่เป็นเพราะเขาอาจจะดูเด็กกว่าอายุ เจ้าหน้าที่ วิลเลียม เจ ฮาเกน ก็ยังคงลงนามใน "ความยินยอม” ให้กับเขาเพราะถือว่าเป็นเรื่องเล็ก
เขาถูกว่าจ้างด้วยเดือนเดือนๆละ $ 13 เหรียญ
เหตุใด
ดูปองต์ มาถึงอเมริกานั้นไม่มีใครรู้แน่ชัด เขาไม่มีชื่ออยู่ในสำมะโนประชากรของปีค.ศ. 1860
ด้วยซ้ำ หรือเขามาเพื่อจะเข้ากองร้อยโดยเฉพาะ บันทึกได้กล่าวไว้ว่าเขาเดินทางไปกับคนที่เขาอาศัยอยู่ด้วยซึ่งเดินทางมาด้วยกันจากสยาม
ต่อมามีความเป็นไปได้และแสดงเอกสารให้เห็นว่าเอกสารที่ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการศึกษาและมีความเป็นไป ได้ว่าเขาจะได้รับทุนการศึกษาโดยมิชชันนารีอเมริกันและถูกส่งไปอเมริกา หรือบางทีอาจจะกลับไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากับพวกเขา เขาไม่ได้ใช้ชื่อ "ดูปองต์" นามแฝงอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะเข้าร่วมที่ 13 แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นชื่อเดิมของเขาในสยามแต่ จอร์จ ดูปองต์ เป็นชื่อที่จดทะเบียนใว้ในกองร้อยที่ 13 ของปี ค.ศ. 1861-1862
ต่อมามีความเป็นไปได้และแสดงเอกสารให้เห็นว่าเอกสารที่ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการศึกษาและมีความเป็นไป ได้ว่าเขาจะได้รับทุนการศึกษาโดยมิชชันนารีอเมริกันและถูกส่งไปอเมริกา หรือบางทีอาจจะกลับไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากับพวกเขา เขาไม่ได้ใช้ชื่อ "ดูปองต์" นามแฝงอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะเข้าร่วมที่ 13 แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นชื่อเดิมของเขาในสยามแต่ จอร์จ ดูปองต์ เป็นชื่อที่จดทะเบียนใว้ในกองร้อยที่ 13 ของปี ค.ศ. 1861-1862
ใน ช่วงสงคราม ดูปองต์ อยู่กับกองร้อยที่
13 ของรัฐนิวเจอร์ซีย์ ที่ การรบเอนเทียแทม (Antietam), ชานเซอร์วิล (Chancellorsville) และเกตตีเบิร์ก(Gettysburg) รอดมาได้ทั้งสามสมรภูมิ(เทพมาก) อย่างไรก็ตามหลังจากที่เกตตี้เขาก็ล้มป่วยและรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลใน
อเล็กซานเดรีย(Alexandria), เวอร์จิเนียในช่วงปลายฤดูร้อนและ ต้นฤดูใบไม้ร่วงปีค.ศ. 1863 ณ การรบ
รีซากา(Resaca) ดูปองต์ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล
แต่ เดือนต่อมาเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในสมรภูมิ คอร์บ ฟาร์ม (Kolb’s Farm)ในวันที่ 22 มิถุนายน 1864 เขาฟื้นตัวในปีถัดไป และออกจากโรงพยาบาลที่
หลุยส์วิลล์(Louisville), รัฐเค้นตุกกี้ เอ้ย เคนตักกี้ ปัดโธ่ Kentucky Fried Chicken โอ๊ย รัฐเคนตักกี้
วันที่ 26 มิถุนายน 1865 เมื่อเขาลาออกจากกองทัพที่เขาได้รับเงินค่าจ้าง
75 เหรียญ จาก รัฐบาล เป็นการสิ้นสุดการรับราชการทหารของเขาเช่นเดียวกับการกลับจ่ายค่า
ใช้จ่ายและการเดินทางไปยังรัฐนิวเจอร์ซีย์
หลังจากลาออก ดูปองต์ กลับไป เจอร์ซีย์ซิตี แต่ในที่สุดเขาก็เขาก็ไปฟิลาเดลซึ่งเขาพบว่าการทำงานเป็นเสมียนใน ถนนแซนซอม ไกล้ๆจากศาลาว่าการเพนซิลวาเนีย (Independence Hall) บาง ทีอาจจะยังคงมีความรู้สึกที่ใจไม่สงบจากสงครามเขา และเอมัส, ของเล่น Philadelphian พื้นเมืองและยังทหารผ่านศึกสงครามกลางเมืองถูกจับดึกของคืนหนึ่งใน
หลังจากลาออก ดูปองต์ กลับไป เจอร์ซีย์ซิตี แต่ในที่สุดเขาก็เขาก็ไปฟิลาเดลซึ่งเขาพบว่าการทำงานเป็นเสมียนใน ถนนแซนซอม ไกล้ๆจากศาลาว่าการเพนซิลวาเนีย (Independence Hall) บาง ทีอาจจะยังคงมีความรู้สึกที่ใจไม่สงบจากสงครามเขา และเอมัส, ของเล่น Philadelphian พื้นเมืองและยังทหารผ่านศึกสงครามกลางเมืองถูกจับดึกของคืนหนึ่งใน
เมื่อ 2 สิงหาคม
1869 ดูปองต์ ได้รับการโอนสัญชาติเป็นพลเมืองอเมริกันในฟิลาเดลเฟียร์
และอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาก็ออกหนังสือเดินทางให้
เขาออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาและในไม่ช้าหลังจากมาถึงกรุงเทพฯในช่วงค.ศ. 1870 ผล ตอบแทนของ ดูปองต์
ไปยังประเทศบ้านเกิดของเขาอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากการแต่งตั้งของสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นหนึ่งในพระมหากษัตริย์ที่เคารพมากที่สุดใน
ประวัติศาสตร์ของประเทศที่มีการครองราชย์ (1868-1910) เป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้ทรงนำความทันสมัยและการเลิกทาสมาสู่ชาติที่พระองค์ทรงครองราชย์อยู่
Upon his return to Siam, Dupont went
to work for the Siam Weekly Advertiser, an English language newspaper in
Bangkok published “to keep those interested in the country fully acquainted
with events transpiring in it.” He wasn’t at the paper long before the
Siamese government recognized Dupont as a “young man well up in military
affairs” and employed him as a drill master for the Siamese army, paying him
$50 a month for his services. After his work with the military he
eventually became a timber dealer which enabled him to travel throughout Siam,
including by boat up and down the country’s rivers.
เมื่อ
เขากลับไปสยาม, ดูปองต์ ไปทำงานให้กับ
บริษัท สยามรายสัปดาห์โฆษณาหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษในกรุงเทพฯตีพิมพ์
"เพื่อให้ผู้ที่สนใจในประเทศที่คุ้นเคยอย่างเต็มที่กับเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น ในตอนนั้น."
รัฐบาล สยามได้ยอมรับ Dupont ว่าเป็น "ชายหนุ่มที่มีดีในการทหาร" และได้ว่าจ้างเขาเป็นครูฝึกกองทัพสยาม
รัฐบาลว่าจ้างเขา $ 50
ต่อเดือนสำหรับการสอนของเขา หลังจากที่ทำงานของเขากับทหารในที่สุดเขาก็กลายเป็นตัวแทนจำหน่าย ไม้ซึ่งทำให้
เขาสามารถเดินทางไปทั่วสยามรวมทั้งโดยเดินทางทางเรือ
ดูปองต์ กำลังหลับอยู่บนเรือของเขาขณะที่กำลังจอดอยู่
ในแม่น้ำยมที่ เมือง สวรรคโลกในภาคกลางของสยามในเช้าตรู่วันหนึ่งในพฤศจิกายน 1889
ตอนที่เขา "ถูกโจมตีโดยพวกโจรและอันธพาล." แม้ว่า "จะโชคดีโจรที่ยิงฉันมันยิงผิดฉัน
ทำให้รอด "เขากล่าว Dupont ทำให้เรื่องจบลงด้วยการยิงผ่านเท้าทั้งสองข้าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดึงดูดความสนใจของหนังสือพิมพ์อเมริกันมาก
คนอ่านหนังสือพิมพ์ดังกล่าวเรียกการกระทำว่า "เป็นการกระทำเลวทรามมาก ... ที่คิดทำร้ายพลเมืองชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ"
ในเดือนเมษายน 1891 เพราะเขาไม่สามารถที่จะทำงานได้ เนืองจากบาดเจ็บ
ดูปองต์ที่ใช้ บำนาญทหารผ่านกงสุลอเมริกันทั่วไป
ในเขตกรุงเทพมหานครตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญของ 1890 ซึ่งได้รับอนุญาต สำหรับทหารผ่านศึกกองทัพฝ่ายเหนือจะได้รับเงินบำนาญ แม้ว่าความพิการของพวกเขาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการให้บริการของพวกเขาสงครามกลางเมือง
Though Dupont claimed that his “left
foot is wholly useless and the right one is nearly so…preventing me from
engagement in any active business,” the Pension Office in Washington still
required a “careful examination of this soldier.” In February, 1892 Dupont was
checked by a physician in Bangkok to verify the extent of his injuries.
Once completed, he was approved for a $12 per month pension.
แม้
ว่าดูปองต์ อ้างว่า "เท้าซ้ายจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงและเท้าขวาก็เกือบพิการ
ดังนั้น ... การป้องกันฉันจากการมีส่วนร่วมในธุรกิจที่ใช้งานใด ๆ " สำนักงานบำนาญในวอร์ชิงตัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 1892 ดูปองต์ ได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์ใน กรุงเทพมหานคร ในการตรวจสอบขอบเขตของการได้รับบาดเจ็บ
เมื่อเสร็จแล้วเขาได้รับการอนุมัติบำนาญ $ 12 ต่อเดือน
King Rama V of Siam
However, Dupont’s pension payments
were later at risk of being suspended as a result of the Pension Act of 1893 in
which non-citizens were not allowed to collect unless their disabilities were
incurred during military service. Since Dupont’s injuries were not war-related,
he had to provide a copy of both his naturalization and passport documents
showing he was an American citizen. To do this, he neatly wrote copies of
both, showing the originals to the United States Consular General in Bangkok
who “legally verified and viewed” the copies. The copies were then sent
to Washington in order for his pension payments to continue. One can only
imagine the length of time correspondence took between Southeast Asia and the
United States in order to settle these matters.
แต่
ดูปองต์ มีการจ่ายเงินบำนาญหลังจากนั้นที่เสี่ยงต่อการถูกระงับเป็นผลมาจาก บัญญัติบำเหน็จบำนาญของปีค.ศ.
1893 ซึ่งประชาชนที่ไม่ได้เป้นชาวอเมริกัน ไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับบำราญ
เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ได้เกิดจากระหว่างการรับราชการทหาร
ตั้งแต่ ได้รับบาดเจ็บของ Dupont ไม่ใช่เกี่ยวข้องกับการทำสงคราม ดูปองต์จะต้องยื่นสำเนาของเขาทั้งสองสัญชาติและ
เอกสารหนังสือเดินทางของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นพลเมืองอเมริกัน การทำเช่นนี้เมื่อสำเนาของทั้งสองแสดงต้นฉบับไปสหรัฐอเมริกา
กงสุลทั่วไปในกรุงเทพฯที่ "ถูกต้องตามกฎหมายและตรวจสอบดู" สำเนา
สำเนาถูกส่งไปยังกรุงวอชิงตันในการชำระเงินบำนาญของเขาเพื่อดำเนินการจ่ายบำนาญสืบไป
Dupont แต่งงานเป็นครั้งแรกในช่วงต้นปี 1900 การแต่งงาน
แต่ความสุขก็อยู่ในช่วงสั้น ๆ จอร์จ ดูปองต์เสียชีวิตจากโรคหัวใจเมื่อ 18 กรกฎาคม
1900 เขาถูกฝังในหลุมฝังศพที่ 720 ในกรุงเทพฯ ณ สุสานโปรเตสแตนต์
สิ่งที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนทุก คือดูปองต์เป็นชาติพันธุ์เอเชีย จดหมายไดอารี่และหนังสือที่เขียนโดยสมาชิกของกองร้อยที่ 13 รัฐนิวเจอร์ซีย์ให้เอ่ยถึงสยามประเทศใดในกลุ่มของพวกเขา นอก จากนี้เมื่อเขาทำงานให้กับรัฐบาลการฝึกอบรมทหารสยาม ดูปองต์ ถูกอธิบายว่าเป็น "อาจารย์ผู้สอนชาวต่างชาติ." ในทางตรงกันข้ามมันเป็นข้อสังเกตที่อื่น ๆ ว่าเขาถูกเลี้ยงดูมาในสยามที่ว่า "ภาษาไทยเป็นภาษาของนาย . วัยเด็กของดูปองต์ "นอกจากนี้ลักษณะทางกายภาพที่ระบุไว้ในทั้งสองรูปแบบทหาร (1862) ของเขาและหนังสือเดินทาง (1869) เห็นพ้องและคำอธิบายของเชื้อชาติเอเชีย ใบหน้า ผมสีดำตาสีดำ ผิวสีเข้ม และรูปไข่ สุดท้ายหนึ่งในประวัติศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่าชื่อสยามของ ดูปองต์ เดิมอาจจะเป็น "ยอด" แต่ตอนนี้ยังคงไม่แน่นอน มัน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับหลากหลายเชื้อชาติ แต่ถ้าถ่ายภาพพื้นผิวหรือเอกสารอื่น ๆ ก็อาจไม่เคยเป็นที่รู้จักในสิ่งเชื้อชาติที่แท้จริงของเขาคือ ทะเบียนในประเทศไทยหอจดหมายเหตุแห่งชาติอาจจะมีเบาะแสอยู่ก็เป็นได้........
แหล่งที่มา:
Dupont, George. Company B, 13th New Jersey Volunteers. Pension Records. National Archives Washington, DC.
สิ่งที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนทุก คือดูปองต์เป็นชาติพันธุ์เอเชีย จดหมายไดอารี่และหนังสือที่เขียนโดยสมาชิกของกองร้อยที่ 13 รัฐนิวเจอร์ซีย์ให้เอ่ยถึงสยามประเทศใดในกลุ่มของพวกเขา นอก จากนี้เมื่อเขาทำงานให้กับรัฐบาลการฝึกอบรมทหารสยาม ดูปองต์ ถูกอธิบายว่าเป็น "อาจารย์ผู้สอนชาวต่างชาติ." ในทางตรงกันข้ามมันเป็นข้อสังเกตที่อื่น ๆ ว่าเขาถูกเลี้ยงดูมาในสยามที่ว่า "ภาษาไทยเป็นภาษาของนาย . วัยเด็กของดูปองต์ "นอกจากนี้ลักษณะทางกายภาพที่ระบุไว้ในทั้งสองรูปแบบทหาร (1862) ของเขาและหนังสือเดินทาง (1869) เห็นพ้องและคำอธิบายของเชื้อชาติเอเชีย ใบหน้า ผมสีดำตาสีดำ ผิวสีเข้ม และรูปไข่ สุดท้ายหนึ่งในประวัติศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่าชื่อสยามของ ดูปองต์ เดิมอาจจะเป็น "ยอด" แต่ตอนนี้ยังคงไม่แน่นอน มัน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับหลากหลายเชื้อชาติ แต่ถ้าถ่ายภาพพื้นผิวหรือเอกสารอื่น ๆ ก็อาจไม่เคยเป็นที่รู้จักในสิ่งเชื้อชาติที่แท้จริงของเขาคือ ทะเบียนในประเทศไทยหอจดหมายเหตุแห่งชาติอาจจะมีเบาะแสอยู่ก็เป็นได้........
แหล่งที่มา:
Dupont, George. Company B, 13th New Jersey Volunteers. Pension Records. National Archives Washington, DC.
Dupont, George. Company B,
13th New Jersey Volunteers. Military Service Records. National Archives
Washington, DC.
Journal of the Siam Society, Volume
64, Part 1. January 1976.
Philadelphia Inquirer, May 1 1866.
Phongphiphat, Wimon and
Phongphiphat Napha. The Eagle and the Elephant:
Thai-American Relations Since 1833. Bangkok, Thailand: United
Productions, 1987.
San Francisco Chronicle, October 27,
1890.
Smith, Samuel J, Ed. The
Siam Repository. Volume 2. Bangkok, 1870
Website
http://emergingcivilwar.com/2012/03/08/a-soldier-from-siam/
วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556
Black file:No one will escape
Blackfile:No one will escape
แฟ้มลับปิดเมืองสังหาร
แฟ้มลับปิดเมืองสังหาร
Blackfile:No one will escape
แฟ้มลับปิดเมืองสังหาร
GOV Republic ประเทศที่มีป้อมปราการเป็น มหาสมุทรแปซิฟิก เมืองที่ไม่เจอปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก
เมืองที่มีดีไซน์การออกแบบที่ทันสมัยอันดับต้นๆของโลก และ เป็นเมืองที่รํ่ารวยเป็นอันดับต้นๆของโลก และแน่นอน เมืองที่มีเงินก็ย่อมมีแหล่งทำเงินเสมอ
นั่นคือเมืองท่าสำคัญในน่านนํ้าแปซิฟิก เป็นเมืองที่บรรดาประเทศมหาอำนาจต่างหมายปอง เป็นเมืองที่มีทิวทัศน์สวยงามเหมาะแก่การท่องเที่ยว
และเป็นเมืองที่ไม่จำเป็นต้องมีรถยนต์ เพราะผังเมืองถูกออกแบบมาให้มีกลไกล หมุนตัวเองเป็นกงล้อตามเข็นนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกาสลับกันไป
ซึ่งแต่ละวงจะแบ่งเป็นเขตได้ชัดเจนคือ
วงในสุด จุดสำคัญของเมือง ที่ว่าการรัฐสภา วงแนวเขตที่สอง เป็น โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ราชการต่างๆ
วงที่สาม เป็นเขตที่พักอาศัยของพลเรือน วงสี่ เป็นกรมปศุสัตว์การเกษตร โรงงานอุตสาหกรรมและบริษัท และวงสุดท้าย เป็นเขตแนวการป้องกันประเทศ
เหมือนเป็นเมืองต้นแบบในความฝันที่หลายประเทศใฝ่ฝันถึงไว้เพระาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้รถยนต์ และ การหมุนตัวเองของเกาะทำให้อากาศถ่ายเท
ระบายความร้อน ออกไปได้ดี
กล่าวถึง อดีตเมือง METROPOLIS เป็นเมืองในเขตวงแหวนอุตสาหกรรม ที่ประสบปัญหา ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนต้องขยายเมืงอออกไปนั้น
เป็นเมืองที่มีอัตราความเจริญสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จากการค้าส่งออกพลังงาน และเครื่องประดับจำพวกเพรชและทองเป็นหลัก จึงทำให้กลายเป็นเขตปกครองพิเศษ ไปในเวลาอันสั้น
แต่ หลังจากการเลือกตั้งเทศมนตรีจบลงไม่นานนั้น นายกก็ถูกลอบสังหาร จึงมีการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจขึ้นมาอย่างกระทันหัน และรัฐบาลชุดใหม่นี้
ได้ตั้งนโยบายออกมามากมาย สำหรับแก้ปัณหาคอรัปชั่นให้น้อยลง เนื่องจากประเทศอยู่ในสภาวะไร้ผู้นำอันเป็นการทำให้เสถียรภาพในการจัดการบริหารหลายๆอย่างหายไป
และความรุ่งโรจณ์นั้นก็กำลังค่อยๆดับลง
ทางสภา GOV ได้รับรู้ถึงแผนการการแยกประเทศของเขตปกครองพิเศษMETRO จึงทำการส่งทูตไปเจรจา
แต่ผลตอบรับนั้น คือการปฏิเสธ และสังหารทูตของพวกเค้า อันเป็นการผิดกฏสัญญาเจนนีวา ซึ่งมีความหมายว่า ทางMETRO ประกาศสงครามกับ GOV
โดยฝ่ายของ METROประกาศสงครามในชื่อ ROM (Republic of Metropolis)
และ การต่อสู้กันของทั้งสองฝ่ายกำลังจะถึงจุดสิ้นสุด ด้วยการรบที่ต่อเนื่องและรุนแรง ทำให้ทางGOV เสริมกองทัพด้วยการจ้างทหารต่างประเทศเข้ามาสมทบ
การรบกินเวลายาวนานจนกำลังพลล้มตายไปมากมาย และจุดจบของROMกำลังใกล้เข้ามา แต่เหมือนฝ่ายROMจะยังมีไพ่ตายสุดท้ายเก็บงำไว้
แต่การที่จะเข้าไปโจมตีใจกลางสำคัญของROMนั้นยังทำไม่ได้ เนื่องด้วยสัญญาณวิทยุรบกวนที่สามารถทำให้ วิทยุขาดการติดต่อและระบบไฟฟ้าขัดข้อง
แม้แต่รถถังเองก็ยังเข้าโจมตีได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทางGOVจึงได้จัดส่งหน่วยรบพิเศษMARSOC นำหน่วยโดยผู้กองเชอร์แมน และพลพรรคได้แก่
หมวดเนปจูน จ่าฮิวตัน และผู้หมู่แอนโทนีย์ เข้าไปในเขตของGOV เพื่อล่าและกวาดล้างทหารของROM ที่ยังหลบซ่อนอยู่ในพื้นที่METROPOLIS
แต่เรื่องราวดันกลับตาลปัด เพราะฝ่ายของเชอร์แมนดันเป็นฝ่ายที่ถูกล่าล้างบางแทน แต่ด้วยทหารของเชอร์แมยที่ได้รับการฝึกมาทั้งหมด
และได้รับอณุญาติให้ใช้วิทยาการพิเศษ การพรางตัว หุ่นโดรนที่ทันสมัย และการปลูกฝังวิสัยทัศน์พิเศษ แม้ต่อให้เหลือคนสุดท้ายก็ใช่ว่าภารกิจจะจบลง
ภารกิจถูกตั้งเป้าหมายให้เสร็จสิ้น หรือตายทั้งหมด และถ้าไม่ทำก็ออกจากเมืองไม่ได้เช่นกัน เชอร์แมนเข้าใจในส่วนของตรงนี้ดีและจำต้องทำภารกิจต่อไป
เป้นภารกิจที่ภายนอกชื่ออาจจะดูเรียบง่าย และมันก็เหมือนภารกิจไปฆ่าตัวตาย นั่นคือ "Search and Detroy"
ค้นหาและกำจัดฝ่ายกบฏให้สิ้นซาก จากเขตปกครองพิเศษ
________________________________________________________________________________________
เมื่อทีมของเชอร์แมนเดินทางเข้าพื้นที่สัญญาณรบกวน วิทยุก็ขาดหายไป และโดรนยังคงทำงานได้ปรกติแต่ส่งข้อมลูกลับฐานไม่ได้เท่านั้น
การรบยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เชอร์แมนนำทีมไปพักและวางแผนที่ใต้สะพานลอย และพวกเค้าพลาด ขณะวางแผน ร้อยโทเนปจูนถูกทหารของROMยิงล้มทั้งยืน
พวกเค้าโดนกองทหารโจมตีด้วยรูปแบบอาร์มกองกำลังทหารม้าย่อย (มีทหารคุ้มกัน 1 หมู่ และรถถัง 1 คัน) เชอร์แมนสั่งการให้ฮิวตัน และแอนโทนีย์กำจัดรถถัง
หลังสิ้นคำสั่งทุกคนเหมือนเตรียมพร้อมรับมือมาเป็นเดือน พวกเค้าแยกย้ายกันไป เชอร์แมนและเนปจูนเป็นตัวล่อให้ ฮินตัน และแอนโทนีย์ใช้ชุดอำพรางหักเหแสง
ทำให้สภาพเหมือนล่องหน พวกเค้าล้มรถถังและจัดการข้าศึกได้อย่างง่ายดาย นั่นเพราะว่าข้าศึกส่วนมากเป็นเพียงพลเรือนที่สู้ไม่เป็นซะส่วนมาก แต่จะให้ปล่อยรอดไป
นั่นก็ทำไม่ได้ เพราะทั้งหมดเป็นคำสั่งจับตายทั้งหมด จำเป็นต้องกำจัดทิ้งแบบไร้ความปราณี เมื่อสิ้นเสียงปืนนัดสุดท้ายในการสั่งหายคนที่เหลือ จ่าฮิวตันก็เดินออกไปเช็คศพ
แต่เค้าพลาด โดนพลซุ่มยิงที่เหลืออยู่ยิงล้มหงายหลัง เชอร์แนเลยสั่งให้ทุกคนพรางตัว เพราะดูทีท่าว่า จะยังมีพลซุ่มยิงหลงเหลืออยู่ เชอร์แมนสั่งทุกคนวิ่งเข้าไปหลบในตึก
พลซุ่มยิงเล็งหัวเชอร์แมนไว้แต่เคราะห์ดีเชอร์แมนหลบลงหลุมได้ทันกระสุนแค่โดนหมวกจนหลุด ทั้งทีมกระโดดลงไปตามเชอร์แมน
เชอร์แมนสั่งให้ฮิวสตันเตรียมพร้อมยิง ระหว่างที่แอนโทนี่ย์และเชอร์แมนไปหาจุดซุ่มยิง พวกเค้าวิ่งลงเข้าท่อระบายนํ้า พวกเค้าส่องมองออกไปจากช่องระบายนํ้า เพื่อหาตัวการ
"โทนีย์ เห็นมันรึยัง " เชอร์แมนตะโกนถาม
"ยังไร้วี่แววเลยครับผู้กอง"
"เอาล่ะมองตามที่ผมบอก เห็นกระจกตรงชั้นสองที่แตกนั่นไหม นั่นคือจุดสุดท้ายที่ผมเห็นเขา"
"ผมเห้นแล้ว มันแอบโคตรเนียนเลย แต่ไม่ใช่จุดของคุณนะผมเห็นเค้าแล้ว"
"เยี่ยมมากโทนีย์ เราจะโยนงานให้ฮิวตันจัดการต่อ" เชอร์แมนพูดพลางตบบ่าโทนีย์เป็นสัญญาณให้เตรียมตัวลุยต่อ
"แล้วท่านจะให้ผมส่องหาทำ พระแสงไรเนี่ย " โทนีย์พูดบ่นพลางเก็บกล้องเข้ากระเป๋า
ในอีกมุมหนึ่งของเมือง กลุ่มทหารรับจ้างอีกกลุ่มของGOV หน่วย DLT (DARK LYKANTOPE) ได้เข้ามาเพื่อภารกิจ ค้นหาและทำลายตัวปล่อยสัญญาณรบกวน
หรือJAMMER นำทีมโดยจ่าซิสเต็ม และผู้กองคอนเนอร์ และแน่นอนพวกเค้าถูกสั่งห้ามออกนอกเขตสงครามด้วยเช่นกัน
ทีมDLTต้องเจอกับกองทหารของROM ที่คอยลอบโจมตีจากมุมมืดตลอดเวลา ทำให้ทีมนี้สูญสียกำลังพลไปมากกว่าที่คิด ถึงจะรอดมาเพราะลูกทีมช่วยตีฝ่าวงล้อม
แต่ก็โดยกองยานเกราะ และหน่วยหุ่นยนต์เกราะ โจมตีอย่างหนัก และพยายามหนีเข้าไปหลบในโรงงาน หลังจากเข้าไปหลบกันใน ห้องเก็บอุปกรณ์ เพื่อเตรียมตัวสำหรับตีฝ่าออกไปยังเป้าหมาย
"เอาไงดีจ่า งานนี้มันไม่หมูเลยให้ตายสิ" นีเบลถามแบบถอดใจ ผู้กองคอนเนอร์ได้แต่มองไปรอบๆ ดูทุกคนทำหน้าถอดใจ
"ทำไปอย่างที่ทำมาแหละ ยิงที่จำเป็นหลบไปเรื่อยประหยัดกระสุนดี " ผู้กองและจ่าหันหน้ามาสบตากันก่อนทั้งคู่จะแสยะยิ้มและชักปืนพร้อมกัน เป็นสัญญาณว่าได้เวลาออกไปลุย
ในเวลาไม่นาน หุนโดรนติดอาวุธ 3ตัว ก็ตามเข้ามาในโรงงานจนได้ แต่คอนเนอร์ได้ดักโจมตีอยู่ก่อนหน้าอยู่แล้ว คอนเนอร์ไม่รอช้า กระโดนคว้าหุ่นตัวแรกไว้แล้วจัดการ
หักคอหุ่นด้วยการทุ่มตัวจนคอหุ่นพัง และเกิดช็อตจนปืนของหุ่นลั่นออกมา ในขณะเดียวกันหุ่นตัวที่สองก็ตามมาสมทบ คอนเนอร์ไม่รอช้า กระโดนเข้าหลบหลังโดรนตัวแรกแล้วจับปืนของหุ่น
สาดกระสุนใส่โดรนตัวที่สองจนหุ่นทั้งสองต่างพังไปตามๆกัน และไม่นานหนุ่นตัวที่สามก็เข้ามาในที่เกิดเหตุ แต่คอนเนอร์ไหวตัวทันหลบเข้ามุมอับสายตาของหุ่นไปก่อนหน้า
ในระหว่างที่หุ่นโดรนตัวที่สามกำลัง สแกนพื้นที่คอนเนอร์แอบย่องจากด้านหลังและซัดแชลงใส่ส่วนใบบัดของหุ่นโดรนจนหุ่นโดนเสียการทรงตัวหล่นลงไปกองอยู่ที่มุมห้อง
แต่ มีหุ่นโดรนลาดตระเวนอยู่แถวนั้นได้รับสัญญาณ ของหุ่นตัวที่สองกำลังบินเข้ามาในจังหวะที่คอนนเอร์กำลังกำจัดซากของหุ่นพอดี คอนเนอร์ยืนอึ้งต่อหุ่นโดนที่เล็งปืนมาทางเค้า ทันใดนั้น
นีเบลก็วิ่งเข้ามาในห้องพร้อมปืนยิงตะปู ยิงใส่กล้องหลักของหุ่นจนพัง ทำให้หุ่นชะงักไปชั่วครู่ เพื่อให้คอนเนอร์ได้วิ่งหนี แต่ไม่ทันหุ่นกลับไปใช้กล้องตัวที่สอง และบินตามคอนเนอร์ไป
แต่ซิสเต็มก็ขัยรถ ฟอล์ลิฟเข้ามาและชนหุ่นโดรนอัดเข้าไปชนกับกำแพงก่อนที่จะวิ่งลงมา เอาค้อนปอนอัดเข้าส่วนหลังของหุ่นจนพังเป็นชิ้นๆ
หลายชั่วโมงผ่านไป ทีมทหารรับจ้างไปพบกับหนึ่งในหน่วยMARSOC ที่กำลังต้านกับกลุ่มกบฏด้วยทีท่าอ่อนแรง
ทีมDLT ได้ยินเสียงการปะทะกันของทั้งสองฝ่ายเลยวิ่งเข้ามาสังเกตุการณ์ และพบเห้นพวกของเชอร์แมน
" เดียว นั่นมันกลุ่มของเชอร์แมน ท่าทางกำลังยุ่งอยู่กับกลุ่มกบฏ" จ่าซิสเต็มเรียกทีมให้ดู
"เอาไงครับจ่า ร่วมวงกับทางนั้นมั้ย ? " นีเบลแทรกถามมาติดๆ
"งั้นผมจะตีจากระนาบถนน ส่วนนีเบล กับคอนเนอร์ก็ วิ่งไปสมทบกับทีมนั้น พยายามพาพวกเค้าออกมาจากจุดนั้น ยิงกดดันข้าศึกไปเรื่อยๆ จนกว่าพวกนั้นจะล่าถอย นำพวกเค้าไปรวมตัวกัน
ที่ตึกริมหัวถนนนั่น รับทราบ ไปได้ ไป ไป ไป !!! " สิ้นเสียง จ่าซิสเต็มวิ่งเข้าไปยิงกดดันกุล่มกบฏ ในขณะที่นีเบลและคอนเนอร์วิ่งเข้าไปสมทบกับกลุ่มของเชอร์แมน
"ผู้กองเชอร์แมน ผู้กอง ผมนีเบลและนี่ คอนเนอร์จาก ดีแอลทีเรามาสมทบคุณและพาคุณไปจากนี่ แต่ตอนนี้เราต้อง ยิงกดดันพวกนั้นก่อน " นีเบล เข้าไปหลบหลังกำบัง ตะโกนใส่ผู้กองเชอร์แมน
"ได้งั้นพวกนายช่วงทีมชั้นยิงพวกบ้านี่หน่อย " ผู้กองเชอร์แมน แอบยิ้มมุมปาก ชี้ไปทางกลุ่มกบฏ ก่อนที่จะโผ่ลออกไปยิงใสกลุ่มกบฏ
ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงหลังจากการปะทะ กลุ่มกบฏ ล่าถอยออกจากพื้นที่ไป กลุ่มดาร์ก ไลเคนโทวฟ และกลุ่ม มาร์ซ็อค ก้มายังจุดนัดพบ ในตึก
นั่งล้อมวงรอบๆกองไฟ คุยถึงเรื่องภาระกิจในเมืองนี้ของทั่งสองทีม
ผู้กองคอนเนอร์เล่าว่า เมืองนี้ ถูกปิดตายด้วยสัญญาณคลื่นความถี่ ที่รบกวนอุปกรณ์ที่ไม่มีตัวป้องกันของทางนั้น ทำให้โดรนใช้การไม่ได้ การรบทุกรูปแบบถูกขัดขวางหมด
ทั้งรถถัง รถลำเลียงพล หุ่นโดรน ทุกอย่าง พังหมด ข้อมูลของเรา ที่ได้รับมา ตัวปล่อยคลื่น ถูกอำพรางเสาสัญญาณไว้ ด้วยการทำให้เหมือนต้นไม้ ซึ่ง มันก้เหมือนจนเกินไป
ทำให้ตลอดเวลาเราแยกไม่ออกกัน และตามหามันยากมาก แต่เราก้ยังมีหวัง เพราะ เราก็กำจัดวงค้นหาจนเหลือที่สุดท้ายแล้ว
หลายวันให้หลัง ทีมดีแอลที และ มาร์ซ็อค เข้าบุกโจมตี โดยให้ทีม ดีแอลทีเป็นตัวตีหลัก และ ทีมมาร์ซ็อคเป็นหน่วยเสริมคอยยิงคุ้มกันด้วยสไนเปอร์ ส่วนแอนโทนีย์จัดการเรื่องกับระเบิดทำแนวป้องกัน
ผู้กองคอนเนอร์นำทีมเข้าชาร์จพื้นที่ต้องสงสัย กำจัดหน่วยลาดตระเวนข้าศึก จนหมด เพียงไม่กี่อึดใจสัญญาณก็ดังขึ้น พร้อมกับ กลุ่มกบฏที่แห่มาพร้อมอาวุธครบมือ เป็นการยืนยัน
ถึงตำแหน่งเครื่องปล่อยสัญญาณได้อย่างดี จึงจำเป้นต้องรีบวางระเบิด ก่อนล่าถอยกลับ มาร์ซ็อค และบางส่วนของ ดีแอลที ตั้งรับป้องกัน
โดยให้ จ่าซิสเต็มวางระเบิดทำลายเครื่องปล่อยสัยญาณ แต่ศัตรูกลับโจมตีมาไม่มากสลับการโจมตีไปมา ตามหลักแล้วทหารหน่วยรบพิเศษหรือกองกำลังติดอาวุธ หากโจมตีสลับไปมา เป้นการลวงให้ข้าศึกคิดว่ามี
ทหารจำนวนมาก ซึ่งเป้นไปตามที่เชอร์แมนคาดการไว้ ว่าจะมีทีมหลักบุกเข้ามา กลุ่มกบฏยิงระเบิดควันอำพรางตัวเอง และยิงลูกระเบิดออกมาสมทบ
มีระเบิดลูกนึงหลุดไปทางที่กำบังของเนปจูน แต่ไม่ได้รับอันตรายอะไร กนเรียกเนปจูนให้วิ่งมาหา ซึ่งเนปจูนก็วิ่งมาอย่างทุลักทุเล จนกระทั่งหวมดเนปจูนถูกยิงเข้าที่เกราะจนเซล้มไปข้าง
ทางฝ่ายมาร์ซ็อควางป้อมปืนต่อต้านไว้ตามจุดป้องกัน แต่ดูเหมือนจะไร้ผล ต้านได้ไม่นาน เพราะกลุ่มกบฏ ทำลายทิ้งและมุ่งเป้าเข้าตีกลุ่มป้องกันอย่างต่อเนื่อง
ผู้กองเชอร์แมนพยายามติดต่อไปหาฮิวตัน แต่ดูเหมือนจะไร้ผล ฮิวตันกำลังนอนอยู่ในกำบังของตัวเอง
"โทนีย์ นายวิ่งไปเตะก้นไอ้บ้าฮิวตันที เหมือนมันจะนอนอู้งานอีกแล้ว" โทนีย์วิ่งออกไปยังกำบังของ ฮิวตัน ห่างออกไป 500เมต บนชั้น6ของห้าง
พอมาถึงโทนีย์เอานํ้าสาดใส่ ฮิวตันที่กำลังนอนอยู่จนฮิวตันสะดุ้งตื่น " ฮิวตัน นายยังจะมีอารมณ์มานอนอีกหรอวะ พวกร็อมแห่กันมาแล้ว ทำงานหน่อย "
จ่าฮิวตันเดินตบหน้าตัวเองเรียกสติ คว้าปืนประทับบ่านั่งซุ่ม แล้วโชว์สเต็ปยิง ทหาร14นาย ทั้งยิงซ้อนสอง เจาะสามตัว ยิงเข้าระเบิดมือ ถายในเวลาไม่ถึง 8วิ
เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ดาร์กไลเคนโทวฟ และ มาณซ็อค เริ่มบาดเจ็บทีละคน จนกระทั่งจ่าซิสเต็มวางระเบิดเสร็จแล้ว จากนั้นทุกคนเริ่มใจแข็ง พาตัวเองและพรรคพวกฝาออกไป นอกเขตอันตราย
จ่าซิสเต็มวิ่งตามหลังมาติดๆ หลังจากวางระเบิดเครืองปล่อยสัญญาณเสร็จ ผู้กองและทีมได้ยิงสนับสนุนให้จ่าซิสเต็มวิ่งออกมา ท่ามกลางวงล้อมของกลุ่มกบฏ ที่ยิงกดดันมาเรือยๆ
วิ่งไปสักพักผู้กองคอนเนอร์ ก็ถูกยิงเข้าที่ลำตัวจนล้มฟุบลงไป จ่าซิสเต็มวิ่งกลับมาหาคอนเนอร์ทันที
"ผู้กอง ไม่เป้นไรใช่ไหม ให้ผมช่วย " ซิสเต็มกำลังพยุงผู้กองขึ้นมา แต่ผู้กองกระชากรีโมทมา และพลักตัวซิสเต็มออกไป
"รีบไปซะจ่า ผมไม่ยอมเป็นตัวถ่วงพวกคุณหรอก"
เชอร์แมนวิ่งมาดึงจ่าซิสเต้ม แต่ถูกจ่าปัดมือออกพร้อมชักปืนจ่อ
"นี่คือคำสั่ง ทิ้งผมไว้ที่นี่แล้วไปซะ"
เพื่อที่จะได้วิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว สลับกันยิง สลับกันถอย ทั้งสองทีมช่วยกันจนคอนเนอร์ถูกยิงที่ลำตัวจนล้มกลิ้ง จ่าซิสเต็มรีบกลับมาหาคอนเนอร์ "ผู้กอง ไม่เป็นไรใช่ใหม" ผู้กองคอนเนอร์ได้กระชากเอารีโมทมา
และบอกจ่า "รีบไปซะจ่า ผมจะไม่ยอมเป็นตัวถ่วงให้กับทุกคน"
เชอร์แมนมาดึงจ่าซิสเต็มแต่จ่าได้ปัดมือเขาออก คอนเนอร์ได้ชี้ปืนใส่ "นี่คือคำสั่ง นายไปซะ"
เชอร์แมนดึงตัวซิสเต็มออกไป พร้อมสั่งสัญญารมือให้ฮิวตัน ยิงปืนพลุทันที และฮิวตันก็ยิงปืนพลุขึ้นฟ้าไป เป็นสัญญาณสำหรับเฮลิคอปเตอร์ให้มารับ เชอร์แมนและวิสเต็มวิ่งไปสักพัก
เสียงระเบิดก็ดังสั่น เสาเครื่องส่งแจมเมอร์ล้มลง วิทยุก็มีสัญญาณเข้ามาทันที เชอร์แมนสั่งฮิวตันจุดพลุไฟสีเขียวทันที
"มาร์ซ็อคเรียกฐาน มาซ็อคเรียกฐาน แจมเมอร์ล้มแล้ว โจมตีเต็มรูปแบบได้ ยํ้าโจมตีเต็มรูปแบบได้ "
"รับทราบกำลังส่งเครื่องไปรับพวกคุณ"
ในที่สุด ภารกิจที่รบมาอย่างยาวนานได้จบลง จ่าซิสเต็มมองไปทางวิ่งวิ่งผ่านมาโดยทิ้งคอนเนอร์ไว้แบบตามไกระพริบด้วยสีหน้าเศร้าต่อสิ่งที่เห็น ผู้กองอนเนอร์ไม่ได้ตามมาด้วย เค้ายอมเสียสละ เพื่อ
ให้ทุกคนรอด
ท่ามกลางท้องฟ้าในช่วงเย็นใกล้คํ่า เครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์ บินผ่านหัวไปหลายๆลำ โจมตีใส่เมืองที่พวกรอมอยู่
"มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ยาวนาน เราแค่เข้ามาโจมตีแล้วจากไป ใช่มีเพื่อนเราไม่ได้มาด้วย เค้าเสียสละเพื่อเรา แต่วีรกรรมเขาจะยังคงอยู่ในความมรงจำของเราเสมอ ไม่สนว่าศัตรูจะโหดเหี้ยมอย่างไร เราจะต่อกรกับพวก
มัน จะถึงท้ายที่สุด "
- ผู้กองเชอร์แมน -
ป้ายกำกับ:
ประเทศ,
แฟ้มลับ,
ภารกิจ ปิดเมืองสังหาร,
แอ็คชั่น
วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556
List of Video
(((((หากใช้ Iphone เอานิ้วกดที่ ชื่อรายการได้เลยครับผม))))))
รายการทีวี
รายการทีวี
----ชอบหน่อยนะ Subcribe รายการผมด้วยน้า-----
^^^^^^^^^^^
(((((หากใช้ Iphone เอานิ้วกดที่ชื่อรายการได้เลยครับผม))))))
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)